#เทเทเท

"พี่ต้า หนูโดนเทอีกแล้ว" 




... สิ้นเสียงประโยคที่สั่นเครือสักพัก น้องสาวคนเดิมก็ปล่อยเสียงสะอื้กสะอื้นในลำคออกมานาน 2-3 นาทีได้ ต้าก็ได้แต่พูดเช่นเดิมกับประโยคที่พูดซ้ำๆ ว่า "ใจเย็นๆ หายใจเข้าลึกๆ นะ ตั้งสตินะอีหนู"

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รุ่นน้องของต้าคนนี้จะโทรมาตัดพ้อเล่าเรื่องความรักของเธอให้ต้าฟัง ตั้งแต่รู้จักกันใหม่ๆ แล้ว มีทั้งเรื่องอินเลิฟที่โทรมาอวดอ้างงั้นงี้ แล้วก็เรื่องก็โดนเขาทิ้งบ้าง ปันใจให้คนอื่นบ้าง ครั้งแล้วครั้งเล่า จนบางทีก็คิดนะครับว่า "มึงเล่าให้คนอื่นฟังอย่างนี้บ้างไหมเนี่ย?"



เมื่อวันเวลาผ่านไป เวลาคบเล่นๆ มันก็คงเริ่มจะหมดไปตามกาลเวลา ความมั่นคงมันเริ่มตะเวนเคาะประตูบ้านของวัยรุ่นยุค 80 ไปหลายหลังแล้ว ตาต่อไปก็คงวัยรุ่นยุค 90 อย่างเรานี่แหละ น้องสาวเราคนนี้ถึงได้มองหาชายสักคนที่จะเป็นคู่ชีวิตให้เขาได้เสียที ก็เลยเริ่มจริงจังกับความรักมากขึ้น และเมื่อจริงจังมากขึ้น พอผิดหวังขึ้นมาก็จะยิ่งทวีคูณมากกว่าเดิม...

ประเด็นที่อยากเล่าให้ฟัง คือ รูปแบบการตั้งสเปคคนในอุดมคติดูๆ ไปก็ไม่ต่างอะไรจากการตั้งคุณสมบัติการรับคนเข้าทำงานเลยแม้แต่นิดเดียว ลองคิดดูสิครับว่าตอนที่เราสมัครงาน สเปคต่างๆ มักถูกตั้งไว้สูงค่าจนเกินจริง เป็นเหมือนสาส์นท้ารบ ประกาศให้ผู้กล้าทั้งหลายส่งใบสมัครเข้ามาท้าทาย 

เมื่อตัดภาพมาที่มุมของคนสัมภาษณ์ เวลาที่ได้เจอกัน ก็เป็นความท้าทายมากขึ้นไปอีกเช่นกัน เพราะต้องเจอกับเขาเหล่านั้นที่อาจหาญสมัครเข้ามา ซึ่งเราไม่มีทางรู้เลยว่าเขาเหล่านั้นตัวจริงจะเป็นอย่างไร ...จะต่างจากใบสมัครไหม ...เราจะถูกใจไหม ...ถูกสเปคหรือป่าว 

ซึ่งไม่ว่าจะ "สมัครงาน" หรือ "สมัครแฟน" นั้นก็คือ ช่วงเวลาที่สำคัญที่เราต้องตัดสินใจ เพราะอะไรนะเหรอครับ? เพราะเขาคนนั้นที่ถูกเลือก กำลังจะกลายเป็นอีกหนึ่งชีวิตที่ร่วมเดินทางไปกับเราในการทำงานหรือสร้างชีวิตครอบครัว

หลายๆ ครั้งที่เรามักจะตัดคนที่ไม่ตรงตามความต้องการออกไปตั้งแต่ต้นโดยไม่สนใจในข้อดีอื่นๆ เลยด้วยซ้ำ นั้นมันไม่ผิดหรอกครับ เพราะทุกคนมีสิทธิ์เลือก เพียงแต่ส่วนตัวของต้าแล้วคิดว่า ถ้าเราทำอย่างนั้น เราเองนั้นแหละที่ได้พลาดโอกาสพูดคุยกับคนดีๆ อีกหนึ่งคนที่เข้ามาในชีวิตไปซะแล้ว ซึ่งเขาอาจจะมิตรที่ดีในอนาคตของเราก็ได้...

...อีกมุมหนึ่ง ก็มีหลายครั้งที่เราได้ตัดสินใจผิดพลาด เลือกคนที่ใช่ ตรงตามสเปค แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาเหล่านั้นไม่อาจเป็นตัวจริงที่ร่วมเดินทางไปด้วยกันได้ ไม่ทะเลาะกัน ก็ต้องถกเถียงกัน ตีกัน ทำงานด้วยกันไม่ได้ ก็ต้องมีอันแยกทางกันไป....

เคยมีรุ่นพี่ของต้าคนหนึ่งพูดไว้ครับว่า การสัมภาษณ์งานมันต้องคุยกัน เจอหน้ากัน แล้วลองแลกเปลี่ยนกันดูว่าเคมีเขากันได้ไหม สมมติว่าเด็กคนนึงสมัครงานเข้ามา เก่งมาก จบมหาลัยดัง เกรดสูง ครอบครัวดี ฐานะดี โปร์ไฟล์ดีทุกอย่าง แต่ตอนที่ได้เจอกันครั้งแรก กลับเข้ากันไม่ได้ มันก็คือ เข้ากันไม่ได้ ก็ตัดไปเสียแต่ต้น ไม่ต้องเลือกเข้ามา เพราะเห็นๆ อยู่ว่าเคมีเข้ากันไม่ได้ตั้งแต่ต้น แล้วจะเสียเวลาเลือกให้เกิดปัญหาทำไม?

เช่นกันครับในมุมมองของความรัก กับแฟนคนนึงที่คุยกันมาหลายปี ตรงตามสเปคทุกอย่าง แต่เวลาผ่านไป ได้พบแล้วครับว่าเราเข้ากันไม่ได้ ก็แปลว่าเข้ากันไม่ได้ สุดท้ายปลายทางก็ต้องแยกจากกันอยู่ดี ดังนั้น รั้งไว้ก็มีแต่จะไม่สบายใจเสียเปล่าๆ

เห็นไหมครับว่า "การสมัครงาน" และ "การมองหาคนรัก" มันแทบจะเหมือนกันทุกประการเลยทีเดียว เพราะมันคือการมองหา "คนที่ใช่" นั่นเอง

วกกลับมาที่รุ่นน้องต้าคนนี้บ้าง ต้าคงบอกไม่ได้หรอกว่าเขาควรทำอย่างไร(ถ้าทำได้ก็คงไม่โสดอย่างนี้เหมือนกัน ฮ่าๆๆ) แต่ก็ยังพูดเสมอและก็จะพูดย้ำคำเดิมทุกครั้งว่า "ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์แล้วกันนะ..." ประโยคเดิมๆ ที่พูดทุกครั้งมาจนถึงตอนนี้ มันดูเหมือนไม่มีประโยชน์นะครับ แต่เมื่อโตขึ้นแล้วเราจะเข้าใจความหมายว่า "ปล่อยไปเถอะ" ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ ไม่ต้องคิดยากอะไร ก็แค่หาใหม่ แค่นั้นเอง แต่รอบหน้า....ลดสเปคไหมเมิง ^_^

#วิชั่นของคนโสด 
#แด่คนที่ถูกเท 
#รักนะเว้ยเฮ้ย

ความคิดเห็น