อยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์และวิธีการดูแลรักษาตัวเองของคนที่เป็นโรคลมชัก ที่คนไม่ชักก็ควรรู้นะครับ....

สวัสดีครับ ผมชื่อ ต้า นะครับ เป็นสมาชิกพันธิปมาสักพักหนึ่งแล้วครับ แต่ส่วนใหญ่จะอ่านมากกว่า นานๆทีจะเขียนรีวิวบ้าง บางทีก็ตั้งกระทู้ถามทั่วไปบ้างครับ แต่ครั้งนี้ ผมอยากมาแบ่งปันประสบการณ์กับเพื่อนๆที่เป็นโรคลมชักให้ทั้งคนเป็นเหมือนกัน หรือไม่ได้เป็นได้อ่านเป็นความรู้กัน อาจะไม่เป๊ะนะครับ(เพราะผมไม่ใช่หมอนะครับ แหะๆ) แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมาก็น่าจะแบ่งปันให้เพื่อนๆได้ครับ

แนะนำกันสั้นๆสำหรับ โรคลมชัก (Epilepsy) เป็นโรคทางระบบประสาทที่พบบ่อยโรคหนึ่ง มีอาการผิดปกติทางระบบประสาท ส่งผลให้มีอาการ ชัก เกร็ง กระตุก กัดลิ้น น้ำลายฟูมปาก เป็นต้น แล้วแต่ลักษณะอาการชักที่แตกต่างกันไป โดยคนไทยทั่วประเทศเป็นโรคลมชักประมาณ 450,000 คน ครั้งแรกที่ผมเริ่มมีอาการ คือ เช้าวันหนึ่ง ตอนนั้นผมเองอายุประมาณ 14 ปี ผมลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำครับแล้วก็รู้สึกตาลาย หน้าร้อนผ่าว แล้วก็วูบหลับไปเลย รู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีก็คือ เรานอนกองอยู่ในห้องน้ำแล้ว จากนั้นก็เริ่มจะมีอาการวูบๆ และล้มตึงไปเหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้าปิดสวิตช์ดับไปเลยอะไรอย่างนั้น แรกๆก็เข้าใจว่าตัวเองคงไม่แข็งแรงเป็นลมง่าย แต่ตอนหลังหมอตรวจพบว่าน่าจะเป็นลมชัก กลายเป็นต้องไปหาหมอเป็นประจำยาวเลยครับ... 

อาการที่ผมเป็นคุณหมอบอกว่าเป็นชนิดล้มลงกับพื้นทันที มีอาการชักเกร็งด้วย เคยผ่านการตรวจ MRI และ การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง EEG มาแล้วครับ สมัยตอนเรียนโดนเพื่อนๆหามส่งห้องพยาบาลอยู่บ่อยๆครับ เพื่อนๆก็จะรู้กันว่ามีอาการแบบนี้ อย่างตัวผมเองก็จะบอกไว้ก่อนเลยกับเพื่อนว่า ผมเป็นอะไรและมีอาการเป็นยังไง ก็มีหลายคนทักนะครับว่าจริงๆแล้วตอนสัมภาษณ์งานหรือคุยกับใครไม่ควรที่จะเอาให้เขาฟังเพราะจะได้งานยาก มันก็จริงนะครับ ผมไม่เถียง แต่ส่วนตัวผมแล้ว รวมถึงคุณหมอที่รักษาเองก็บอกว่าจริงๆแล้วไม่ควรทำเลย เพราะเราควรจะบอกให้คนรอบข้างเรารู้จะดีกว่า อย่างน้อยให้เขาเข้าใจ และถ้าเกิดเหตุการณ์ขึ้นมา เขาจะได้ช่วยเราได้อย่างถูกต้องครับ ดีกว่าเกิดอาการแล้วคนรอบข้างไม่ทราบ ได้รับการปฐมพยาบาลที่ไม่ถูกต้อง เดี๋ยวจะหนักไปกว่าเดิมครับ

มาลองดูตัวยากันบ้างดีกว่าครับ ผมทานยาตัวนี้ชื่อ Dilantin 100 mg. กินก่อนนอนครั้งล่ะ 3 เม็ดครับ จริงๆได้กินตัวนี้ตัวเดียวเลยครับตั้งแต่ที่เป็นเริ่มที่ 2 เม็ด แล้วเพิ่มเป็น 3 เม็ด สลับกันไปๆมาๆ เพราะเอาจริงผมก็แอบลืมกินยานะ พอมีอาการ หมอก็เลยต้องกลับมาให้ทาน 3 เม็ดเหมือนเดิม(แถมโดนดุด้วย T_T) ซึ่งบางคนทานเป็นระยะเวลาติดต่อกันสัก 2 ปีและไม่มีอาการ ก็อาจจะเป็นสัญาณที่ดีของอาการ ก็ลดยาได้ตามคำสั่งหมอครับ ตอนนี้ก็เป็น 10 ปีแล้วครับ



ส่วนอันนี้เป็นอาหารเสริมที่ทานเพิ่มครับ ก็มีปรึกษาคุณหมอบ้างว่าเอ๊ะ ผมพอจะทานอาหารเสริมบ้างได้ไหม เพราะด้วยความไม่สบายใจอะนะครับ เราก็จะได้อะไรมาช่วยบำรุงเราบ้าง คุณหมอก็แนะนำครับว่า ถ้าอยากทานจริงๆก็เลือกที่บำรุงสมองก็จะดีหน่อย เพราะว่าอาการลมชักก็มีสาเหตุเกิดจากสมองเช่นกัน ได้ตรงนี้ไปช่วยบำรุงก็จะดีครับ ที่ผมทานอยู่ก็มีน้ำมันตับปลา อันนี้คือทานมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ คุณแม่ซื้อมาให้ทานเราก็กินมาเรื่อยๆ โตขึ้นมาก็เลยทานตลอด อันต่อมา(เม็ดกลาง)เป็นใบเป๊ะก๋วยแบบเม็ดครับ อันนี้ไม่ต้องบอกเลยครับช่วยเรื่องสมองตรงๆอยู่แล้วครับ และเม็ดสุดท้ายเป็นน้ำมันรำข้าวครับ อันนี้ได้รับคำแนะนำมาจากเพื่อน(เพราะเพื่อนต้าก็เป็นหมอและทำงานเกี่ยวกับสุขภาพด้วยครับ) เขาบอกว่ามีส่วนช่วยบำรุงประสาทและสมองด้วย เพราะมีค่าโอเมก้าสูง ดีต่อสุขภาพ ซึ่งอัพเดตตอนนี้ใบเป๊ะก๋วยไม่ได้กินแล้วครับ ผมว่ามันเยอะไป(เลยส่งให้คุณแม่กินต่อ) แล้วคุณหมอบอกให้ลองทานสดๆดูดีกว่า เลยกะจะลองเอามาทำอาหารดูบ้างครับ ใครมีเมนูก็ช่วยแนะนำหน่อยนะครับ


มีอาหารเสริมตัวหนึ่งที่ คุณหมอบอกกำชับนักหนาเลยว่าห้ามเด็ดขาด ก็คือ น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส ครับ เพราะว่าผลข้างเคียงของ GLA หรือ Gamma-linolenic acid ในน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส มีรายงานจากผลการทดลองว่ามันทำให้อาการลมชักกำเริบได้ครับ ซึ่งจริงๆแล้วน้ำมันรำข้าวเองก็มี GLA เหมือนน้ำมันอีฟนิ่ง พรีมโรสครับ แต่ที่ทานน้ำมันรำข้าวได้เพราะ GLA ในน้ำมันรำข้าวมีปริมาณไม่มากพอที่จะทำให้เกิดปฏิกริยากับโรคลมชัก  เหมือนกับน้ำมันอีฟนิงพรีมโรสครับ ดังนั้น เพื่อนๆที่เป็นลมชักเหมือนกัน ถ้าอยากทานอาหารเสริมอะไร รวมถึงยารักษาอาการป่วยอื่นๆด้วย ถ้าจำเป็นต้องกินต้องปรึกษาคุณหมอก่อนจะดีที่สุดนะครับ

มีข้อห้ามเลยที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับคนที่ป่วยเลยจริงๆ และพยายามหลีกเลี่ยงมากๆ
1. ห้ามอดนอน พักผ่อนไม่เพียงพอ อันนี้เด็ดขาดครับ อดนอนเมื่อไหร่พังทันที พักผ่อนให้เต็มที่ดีที่สุด
2. ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ห้ามสูบบุหรี่ อันนี้ไม่ต้องอธิบายมากครับ สุขภาพไม่ดีอยู่แล้ว อย่าทำลายมันเลยนะครับ เลิกไม่ได้ก็ลดหน่อยก็ยังดีครับ
3. การขาดยา อันนี้เด็ดขาดครับห้ามขาดจริงๆเพราะอย่างที่บอกว่ามีผลทำให้หายช้าด้วยนะครับ
จริงๆแล้วมีรายละเอียดที่ควรระวังเยอะกว่านี้นะครับ แต่เอาจริงๆก็คือ 3 ข้อนี้เป็นข้อที่หมอตักเตือนผมบ่อยๆนั้นแหละครับ แหะๆ เพราะ 3 ข้อนี้ จะเป็นข้อสำคัญที่คนป่วยควรระวังอย่างเด็ดขาดจริงๆ ซึ่งมีผลกระทบมากๆที่ส่งผลทำให้เกิดโรคครับ แล้วก็ยังมีข้อห้ามอย่างเช่น การออกกำลังกายหนัก ก็ต้องระวังนะครับ

ตอนนี้ผมเรียนจบแล้วครับ ก็ทำงานอยู่ในออฟฟิซปกติ ถามว่ามีผลกระทบไหม....ส่วนตัวผมเอง ผมว่าไม่มีนะครับ ผมสามารถดำเนินชีวิตไปได้อย่างปกติ เพื่อนๆก็ทราบทุกคน รวมถึงรู้ว่าจะต้องทำยังไงเมื่อมีอาการ ผมโชคดีมากที่มีเพื่อนๆและพี่ๆ หัวหน้า และเจ้านายที่เข้าใจเรื่องนี้ด้วยครับ ก็เลยไม่คิดมาก แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากๆที่คุณหมอจะบอกผมบ่อยๆก็คือ การรู้ตัวเอง เราต้องรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ใช้ชีวิตอย่างมีสติตลอดเวลา และมีวินัยในการกินยารวมถึงการใช้ชีวิต เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว เราต้องมีสติที่จะดูแลตัวเองหรือส่งสัญญาณบอกคนใกล้ตัวให้ช่วยดูแลทันที 

จริงๆโรคนี้มีโอกาสหายนะครับ ถ้าได้รับยา และดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ บางรายก็อาจจะได้รับการผ่าตัดเพิ่มเติม ซึ่งการรักษาอาจจะยาวนานสักหน่อย(อย่างผมเองก็หลายปีอยู่ครับ แต่ยังไม่หายนะครับ) และเมื่อรู้แล้วว่าเราเป็นลมชักก็อย่าฝืนทำในสิ่งที่เขาห้ามนะครับ แม้จะน่าเสียดายแต่รักษาสุขภาพก่อนเถอะครับ (คุณหมอเตือนประจำครับว่า "อย่าซ่า" 5555+)

สำหรับผู้ที่มีคนใกล้ชิดเป็นโรคลมชัก ควรทำอย่างไรดี ผมมีคำแนะนำเพิ่มเติมให้เป็นความรู้ด้วยครับ
1. อันแรกเลยครับ ตั้งสติก่อนครับ พยายามสอบถามอาการของผู้ป่วย เพราะว่าก่อนจะมีอาการมักจะมีสัญญาณเตือนเสมอ อย่างตัวผมเองจะมีหน้ามืด รู้สึกวิ๊งค์ ตาลาย หายใจไม่ทัน ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เตรียมชาร์ตเลยครับ (แต่ถ้าเป็นตอนอยู่คนเดียว ก็หาที่แลนดิ้งเลยครับ นอนสบายๆเลยดีที่สุด) 
2. ระหว่างที่อาการกำเริบ คอยสังเกตุการณ์ไม่ให้เกิดอุบัติเหตุหรือการสำลักครับ จับให้นอนสบายๆ คลายเสื้อผ้าให้หลวม 
3. ไม่ควรใช้อะไรงัดปากของคนป่วยนะครับ เพราะอาจจะเกิดอันตรายได้ครับทั้งกับตัวผู้ป่วยและคนช่วยเหลือเองครับ หมอเคยเล่าว่ามีคนไข้รายหนึ่งรักษากับหมอประจไ แต่มาอีกทีฟันหลอข้างหน้า 4 ซี่เลย เพราะเพื่อนงัดปากให้กัดช้อนฟันเลยแตกหมด อึ๋ยยยยยย
4. ห้ามเด็ดขาดคือ กดหน้าอกและยึดรั้งแขนขาของคนป่วยนะครับ เหมือนกันครับ อาจจะเกิดอันตรายได้ (ครั้งนึงผมเคยชักแล้วเพื่อนจับมือไว้พอดี เพื่อนเล่าว่ากว่าจะคลายก็เจ็บมือเอาการเลย)
5. อาการชักสามารถหายได้เองเมื่อเกิดขึ้นสักระยะหนึ่งครับ เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาลก็ได้ ผมเคยมีประสบการณ์ คือ ถ้าไปตอนไม่มีอาการใดๆก็เหมือนคนธรรมดาคนหนึ่งครับ ไม่มีอาการใดๆนอกจากอ่อนเพลียเล็กน้อย เพราะงั้นพยายามเรียกสติของผู้ป่วยอยู่ตลอดเวลาครับ ดูให้เขาไม่เป็นอันตรายขณะชัก สักพักเขาจะคืนสติได้เอง แต่ถ้าหากชักเกินกว่า 5-10 นาทีขึ้นไป ควรรีบนำส่ง รพ. ทันทีครับ เพราะมันไม่ปกติแล้วครับ!

อยากบอกกับคนที่ยังไม่เคยรู้จักกับโรคนี้ว่า จริงๆไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ถ้ามีเพื่อนๆรอบข้างที่เป็น แค่เราเข้าใจและรู้ว่าวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง สำหรับเพื่อนๆที่ป่วยเหมือนกัน จริงอยู่ครับ เราอาจมีข้อเสียเปรียบเวลาที่เขียนใบสมัครแล้วมีเจ้าโรคนี้อยู่ด้วย แต่ถ้าหากเราเข้าใจ มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เราก็จะสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ อย่าที่คุณหมอของผมบอกแหละครับ ต้องใช้ชีวิตอย่างมีสติ!

ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้กับใครหลายๆคนนะครับ

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น